“วัฒนธรรมอยู่กันแบบครอบครัว” เป็นวัฒนธรรมองค์กรแบบหนึ่ง ที่เน้นให้พนักงานรวมกลุ่ม และร่วมมือกัน ในลักษณะของ “ทีมเวิร์ก” มีการสนับสนุนซึ่งกันและกัน ยืดหยุ่นสูง ไม่เป็นทางการมากนัก พนักงานเข้าถึงผู้บริหารได้ง่าย โดยมี ข้อดีคือ พนักงานมีความใกล้ชิด เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน รู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของบริษัท จงรักภักดีต่อบริษัท มีความสัมพันธ์ที่ดีช่วยให้การพูดคุย แก้ปัญหาเป็นไปได้ง่าย
ในขณะเดียวกันวัฒนธรรมองค์กรแบบนี้ก็มีจุดอ่อนซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารธุรกิจจากเว็บไซต์ Harvard Business Review ระบุว่า สิ่งที่บริษัทต้องการจากพนักงานคือ การทำงานที่มีประสิทธิภาพ มีทักษะความสามารถที่ตอบโจทย์งาน และสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้การใส่คำว่า “ครอบครัว” ในที่ทำงาน บริษัทอาจได้ในสิ่งที่ไม่ตรงกับความคาดหวัง และมีข้อเสีย ดังนี้
1. พื้นที่ส่วนบุคคลเลือนราง ความสนิทสนมคุ้นเคยกัน อาจทำให้เรื่องส่วนตัวของพนักงานถูกนำมาบอกกล่าว และถูกคาดหวังให้ต้องเปิดเผยเรื่องส่วนตัว นอกจากนี้ บริษัทยังมีแนวโน้มจะคาดหวังให้พนักงานรวมตัวกันในออฟฟิศ ไม่นิยมการประชุมออนไลน์หรือ Work From Home ขณะเดียวกัน ก็เรียกร้องให้พนักงานให้ ความสำคัญกับบริษัท มากกว่าเรื่องอื่น รวมถึงปัญหาส่วนตัว หรือปัญหาครอบครัวจริง ๆ ของตนเอง
2. การเรียกร้องจากคนทำงานจนเกินขอบเขต บริษัทมักจะคาดหวังให้พนักงานทุ่มเทให้องค์กร พนักงานต้องทำทุกอย่าง ทำงานเกินเวลา เกินขอบเขตความรับผิดชอบของตัวเอง HBR ระบุว่าบริษัทที่ใช้คำว่า “ครอบครัว” มีแนวโน้มจะเอาเปรียบพนักงาน ละเลย Work Life Balance ของคนทำงาน
3. หมกเม็ดความผิด-ปิดกั้นความเห็นที่แตกต่าง งานวิจัยของ HBR พบว่าพนักงานที่สนิทสนมกันมาก จะไม่รายงานความผิดของเพื่อนร่วมงานให้กับบริษัทได้รับรู้ เพราะไม่อยากทำร้ายเพื่อน
หากเราอยู่กันแบบเผ่าหรือหมู่บ้าน องค์กรของเราจะมีทั้งความเข้าอกเข้าใจ ความเป็นหนึ่งเดียว และมีเป้าหมายเดียวกัน โดยไม่ต้องรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวแบบการอยู่กันเป็นครอบครัว อย่างไรก็ตาม แล้วเราจะสร้างองค์กรที่อยู่กันแบบเผ่าได้อย่างไร
1. นิยามความหมายและเป้าหมายให้ชัดเจน
เมื่อรับสมาชิกใหม่เข้ามา สิ่งแรกที่ควรทำคือนิยามให้เข้าใจชัดเจนว่าเราไม่ได้อยู่กันแบบครอบครัว เราคาดหวังอะไรในตัวพนักงานใหม่บ้าง และเรามีเส้นแบ่งชัดเจนระหว่างชีวิตส่วนตัวกับการงาน นอกจากจะแจ้งตั้งแต่เริ่มงานแล้ว หากผ่านไปสักระยะ หัวหน้าควรคอยถามไถ่เรื่อง Work-life balance กับพนักงานทุกๆ ครั้งที่มีการเช็กอินหรือพูดคุยแบบ 1:1 นอกเหนือจากนั้น เราไม่ควรให้เหตุผลในการไปสู่เป้าหมายว่า เป็นเพราะเรา
“ลงเรือลำเดียวกัน” เพราะคำพูดเช่นนี้ให้ความรู้สึกบีบบังคับและไร้ซึ่งตัวเลือก ในขณะเดียวกันการพูดให้ชัดเจนไปเลยว่า “เรามีเป้าหมายเดียวกัน” เข้าใจได้ง่ายมากกว่าแจ้งให้ชัดเจนว่าเป้าหมายของบริษัทคืออะไร และบทบาทหน้าที่ของพนักงานที่จะช่วยให้บริษัทไปถึงเป้าหมายนั้นคืออะไร ความเข้าใจร่วมกันนี้เอง
จะพาทุกคนพายเรือไปในทิศทางเดียวกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ มากกว่าการมัดมือชกแล้วบอกว่าเราลงเรือ
ลำเดียวกันแล้วนะ
2. ตั้งขอบเขตให้ชัดเจนเรื่องเวลางาน
พนักงานต้องเข้าใจถึงเรื่องชั่วโมงทำงานและวันหยุด แจ้งให้พวกเขารู้ว่าสามารถใช้วันหยุดที่มีให้อย่างไม่ต้องรู้สึกผิด เพราะเราทุกคนล้วนมีวันที่เหนื่อยเป็นพิเศษกันทั้งนั้น ที่สำคัญเราควรแจ้งให้พนักงานทราบด้วยว่า หากเจอปัญหาที่กระทบถึงเรื่องงาน พวกเขาสามารถพูดคุยกับใครได้บ้าง สามารถลางานได้หรือไม่ หรือมีอะไรบ้างที่จะช่วยเหลือพนักงานให้กลับเข้าสู่สภาวะปกติได้ หัวหน้าทีมอาจแสดงให้เห็นว่าองค์กรใส่ใจเรื่องวันพักผ่อนโดยการลาพักเป็นตัวอย่าง และใช้เวลานั้นไปกับการทำกิจกรรมอื่นๆ นอกเหนือจากการทำงาน
3. ยอมรับธรรมชาติของความสัมพันธ์ในการทำงาน
ความสัมพันธ์ในที่ทำงานเป็นเช่นไรก็ควรปล่อยให้เป็นตามธรรมชาติเช่นนั้น ไม่จำเป็นต้องไปนิยามความเป็นครอบครัวเพื่อให้ได้ความภักดี ความทุ่มเท หรือผลงานที่ดีกว่า เราต่างรู้กันดีว่าในอนาคต ต่างฝ่ายต่างต้องแยกย้ายกันไปตามถนนของตัวเอง ดังนั้นเพียงแค่ทั้งสองฝ่ายเคารพ สนับสนุน และเห็นใจกันและกันก็เพียงพอแล้ว
ข้อมูลจาก :