ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยถือว่าเข้าขั้นวิกฤต โดยเฉพาะในหมู่เด็กและเยาวชนซึ่งเป็นกลุ่มที่น่าเป็นห่วงที่สุดในขณะนี้
จากผลสำรวจการสูบบุหรี่ล่าสุดของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า ระหว่างปี 2564-2567 คนอายุ 15 ปีขึ้นไปสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึง 11.4 เท่า หรือจากเดิม 78,742 คน เป็น 900,459 คน โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชนอายุ 13-15 ปี มีการสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 5.3 เท่าภายในระยะเวลาเพียงแค่ 7 ปีเท่านั้น และสิ่งที่น่าตกใจอย่างมากคือมีเด็กอายุ 9-12 ปี เคยสูบบุหรี่ไฟฟ้าถึง 43 % เรียกว่าเป็นปรากฎการณ์ที่ไม่เคยขึ้นมาก่อนในสมัยที่ยังเป็นบุหรี่มวน
ความน่ากังวลอยู่ตรงที่บุหรี่ไฟฟ้าถือเป็นต้นทางของการสูบบุหรี่ โดยเด็กและเยาวชนที่ไม่เคยสูบบุหรี่มาก่อนเมื่อได้ลองสูบบุหรี่ไฟฟ้าแล้ว ก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะหันไปสูบบุหรี่มวนในอนาคตสูงขึ้น 2-12 เท่า รวมถึงมีพฤติกรรมเสี่ยงในการใช้สารเสพติดอื่นๆ อันจะนำไปสู่ปัญหาหรือเกิดผลกระทบทางสังคมในอนาคตด้วย
“เด็กและเยาวชน” เหยื่อรายใหม่ของบุหรี่ไฟฟ้า
คุณสมชาย โต๊ะอีสอ ตัวแทนเครือข่ายวิชาชีพสุขภาพเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ เปิดเผยว่า ประเด็นที่น่าห่วงที่สุดตอนนี้คือกลยุทธ์ทางการตลาดของอุตสาหกรรมบุหรี่ไฟฟ้าที่มุ่งเป้าไปยังกลุ่มเด็กและเยาวชน ผ่านผลิตภัณฑ์ที่ดูสวยงามในรูปแบบตุ๊กตา มีสีสัน กลิ่น และรสชาติมากมาย แต่แฝงไว้ด้วยนิโคตินในระดับสูง นอกจากนี้ยังอาศัยช่องโหว่ทางกฎหมายและพฤติกรรมผู้บริโภครุ่นใหม่ในการโฆษณาบุหรี่ไฟฟ้าทางสื่อออนไลน์ เช่น อินเทอร์เน็ต โซเชียลมีเดีย ทำให้เกิดความอยากรู้อยากลองได้ไม่ยากเย็นนัก
“บุหรี่ไฟฟ้ามีนิโคติน สารพิษ สารเคมีที่ส่งผลอันตรายต่ออวัยวะต่างๆ ในร่างกาย ตั้งแต่สมอง ปอด หัวใจ และหลอดเลือด โดยเฉพาะในเด็กและเยาวชนจะก่อให้เกิดอันตรายต่ออวัยวะที่กำลังเจริญเติบโตและพัฒนา ส่งผลเสียต่อการเรียนหนังสือ สมาธิ การควบคุมอารมณ์ เพิ่มความเสี่ยงเกิดอาการซึมเศร้า นำไปสู่การใช้สิ่งเสพติดชนิดอื่นได้”
“บุหรี่ไฟฟ้ากำลังสร้างคลื่นลูกใหม่ของผู้เสพติดนิโคตินวัยเด็ก ซึ่งจะส่งผลระยะยาวต่อสังคม ทั้งด้านสุขภาพ การศึกษา เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของประชากรในอนาคต ขณเดียวกันความล่าช้าในการแก้ไขปัญหากก็จะนำไปสู่ต้นทุนทางสังคมและสุขภาพที่สูงขึ้นมากในระยะยาว สุขภาพของประชาชนไม่ควรถูกขายแลกกับผลกำไรของธุรกิจ พิษภัยของนิโคตินไม่ควรเป็นสิ่งที่เยาวชนไทยต้องจ่ายด้วยอนาคตของพวกเขา”
ผู้ใหญ่วัยทำงานก็ยังคงเสี่ยง
นอกจากเด็กและเยาวชนที่กำลังตกอยู่ในอันตรายจากการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า ผู้ใหญ่วัยทำงานเองก็ต้องเผชิญกับปัญหาการติดบุหรี่เหมือนกัน ที่น่าเป็นห่วงก็คือหลายคนหันมาสูบบุหรี่ไฟฟ้าเพราะเชื่อว่าจะช่วยให้เลิกสูบบุหรี่แบบมวนได้ รวมถึงการมีทัศนคติผิดๆ ที่ว่าบุหรี่ไฟฟ้ามีพิษภัยน้อยกว่าบุหรี่มวน
โดยข้อมูลของมูลนิธิเพื่อการรณรงค์ไม่สูบบุหรี่ ที่ระบุว่า คนสูบบุหรี่ไฟฟ้า หากสูบวันละ 140-300 ครั้งต่อวัน จะเทียบเท่ากับคนที่สูบบุหรี่แบบมวน 80-140 มวนต่อวัน และการสูบบุหรี่ไฟฟ้า 1 ครั้งจะส่งนิโคตินถึงสมองภายใน 10 วินาที มากกว่าที่สูบบุหรี่ธรรมดา 1 มวนเสียอีก นอกจากนี้น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า 1 มิลลิลิตร มีนิโคตินเท่ากับบุหรี่ 5 ซอง ทั้งหมดนี้ถือเป็นข้อมูลที่น่าตกใจมาก
“นอกจากนิโคตินแล้ว บุหรี่ไฟฟ้ายังประกอบด้วยสารเคมีที่เป็นอันตรายต่ออวัยวะต่างๆ สารก่อมะเร็งและโลหะหนัก ทำให้เกิดโรคปอด โรคมะเร็งชนิดต่างๆ ทั้งยังทำให้เกิดโรคหัวใจได้เร็วขึ้น คนที่ติดบุหรี่ไฟฟ้าเพราะติดสารเสพติดนิโคตินซึ่งมีอันตรายต่ออวัยวะต่างๆในร่างกาย ตั้งแต่สมอง หัวใจและหลอดเลือด ระบบฮอร์โมน ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ความดันสูงขึ้น เส้นเลือดแข็งตัวและยืดหยุ่นน้อยลงนำไปสู่โรคหัวใจ การเปลี่ยนแปลงของระบบฮอร์โมนทำให้เพิ่มความเสี่ยงเป็นเบาหวาน นิโคตินยังส่งผลเสียต่อสุขภาพของสมองนอกเหนือจากการเสพติด ส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต เพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดอาการซึมเศร้าด้วย” สมชายกล่าว
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีสถานประกอบการปลอดบุหรี่ต้นแบบมากกว่า 400 แห่ง จากสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการสถานประกอบการปลอดบุหรี่กว่า 4,000 แห่ง ที่ผ่านมามีการบูรณาการขับเคลื่อนประเด็นสร้างเสริมสุขภาพอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย เช่น Happy Workplace ของสำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร โดยออกแบบสภาพแวดล้อมในที่ทำงานให้ปลอดควันบุหรี่ รวมถึงสายด่วนเลิกบุหรี่ 1600 ที่มีส่วนช่วยเหลือให้คนเลิกบุหรี่ได้สำเร็จ ทำให้กลุ่มวัยทำงานมีสุขภาพที่ดีขึ้น เจ็บป่วยน้อยลง สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ นำไปสู่ผลประกอบการที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลของสถานประกอบการ
สำหรับการรณรงค์ให้คนเลิกสูบบุหรี่ไฟฟ้าในสถานที่ทำงาน คุณสมชายได้เสนอแนวทางไว้อย่างน่าสนใจหลายประเด็น เช่น กำหนดให้ทุกพื้นที่ในองค์กรเป็นพื้นที่ปลอดบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า 100% พร้อมติดป้ายสื่อสารอย่างชัดเจนและสื่อสารให้พนักงานรับทราบอย่างทั่วถึง จัดกิจกรรมให้ความรู้ เช่น บรรยาย นิทรรศการ หรือผลิตคลิปวิดีโอเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพจากบุหรี่ไฟฟ้า จัดคลินิกบริการให้คำปรึกษาเพื่อการช่วยเลิกบุหรี่อย่างง่าย กระตุ้นให้ผู้บริหารเป็นแบบอย่างในการไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ยาสูบและบุหรี่ไฟฟ้า จนถึงกำหนดเกณฑ์การไม่สูบบุหรี่ไว้ในแบบประเมินสุขภาพพนักงาน (Wellness Program) และกำหนดบทลงโทษที่เหมาะสมกรณีที่ฝ่าฝืนนโยบายองค์กร
ทุกองค์กรต้องลุกขึ้นมาร่วมกันขับเคลื่อน
สำหรับการรณรงค์ขับเคลื่อนเรื่องการไม่สูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. คุณพงษ์ศักดิ์ ธงรัตนะ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร (สำนัก 8) เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา สสส. และภาคีเครือข่ายได้ร่วมขับเคลื่อนการรณรงค์ลดละเลิกบุหรี่มาอย่างต่อเนื่อง
“ข่าวดีคือสถิติการสูบบุหรี่มวนลดลงเรื่อยๆ แต่ข่าวร้ายคือการสูบบุหรี่ไฟฟ้ามีสถิติการสูบที่เพิ่มขึ้น แล้วที่แย่ไปกว่านั้นคือการสูบบุหรี่ไฟฟ้ามีการเติบโตมากในกลุ่มเด็กและเยาวชน ตั้งแต่ระดับมหาวิทยาลัย มัธยม จนถึงประถม รวมทั้งมีการสูบกันมากในกลุ่มผู้หญิง ดังนั้น สสส. และภาคีจึงได้ทำงานร่วมกับเครือข่ายต่างๆ ทั้งโรงเรียน ชุมชน มหาวิทยาลัย และองค์กรจากภาคส่วนต่างๆ ในการให้ความรู้ สนับสนุนสื่อ เครื่องมือ และสายด่วนเลิกบุหรี่ 1600 รวมทั้งผลักดันนโยบายต่างๆ เพื่อลดการสูบและป้องกันนักสูบหน้าใหม่”
ผอ.พงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับสำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร หรือ สำนัก 8 ได้ขับเคลื่อนการสร้าง “พื้นที่ทำงานปลอดบุหรี่” ผ่านแนวคิด “องค์กรสุขภาวะ” (Happy Workplace) ไปสู่มิติใหม่ของการป้องกันบุหรี่ไฟฟ้าในสถานประกอบการ มหาวิทยาลัย และองค์กรทั่วประเทศ ผ่านกลไกหลัก 3 ประการ ได้แก่
สร้างองค์ความรู้และหลักฐานทางวิชาการ : โดยร่วมมือกับภาคีเครือข่ายและนักวิจัย ในการเผยแพร่ข้อมูลและผลกระทบจากบุหรี่ไฟฟ้าต่อสุขภาพ ขจัดความเข้าใจผิดว่าบุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัยกว่า ทั้งที่ในความเป็นจริง มีงานวิจัยจากหลายสถาบัน เช่น องค์การอนามัยโลก(WHO) และ กรมควบคุมโรค สหรัฐฯ (CDC) ยืนยันว่าบุหรี่ไฟฟ้าก่อให้เกิดสารพิษและมีผลต่อระบบทางเดินหายใจ หัวใจ และสมอง
พัฒนานโยบายและเครื่องมือ : สสส. ได้ร่วมมือกับองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนโดยเฉพาะในเครือข่าย Happy Workplace ในการออกข้อบังคับ/ประกาศองค์กรเรื่อง ห้ามใช้บุหรี่ไฟฟ้าในสถานที่ทำงาน พร้อมออกแบบสื่อรณรงค์ในรูปแบบเข้าใจง่าย เช่น อินโฟกราฟิก โปสเตอร์ และคลิปสั้นเพื่อใช้ในองค์กร
เสริมพลังแกนนำองค์กร : สนับสนุนให้องค์กรมี “นักสร้างสุข” (Change Agent) ที่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญภายในองค์กร โดยมุ่งส่งข้อความสำคัญที่ว่า บุหรี่ไฟฟ้าไม่ใช่เทรนด์ใหม่ที่เท่ แต่คือความเสี่ยงใหม่ที่องค์กรต้องจัดการ และส่งเสริมการใช้มาตรการสร้างแรงจูงใจแทนการลงโทษ
“แม้ผลลัพธ์ที่ผ่านมาจะเป็นที่น่าพอใจ ซึ่งในเรื่องของบุหรี่มวนเราเห็นความร่วมมือและการปรับพฤติกรรมที่ชัดเจน แต่การเพิ่มขึ้นของการสูบบุหรี่ไฟฟ้าคือคลื่นยักษ์สึนามิลูกใหม่ที่เข้ามา สิ่งที่น่ากังวลที่สุดในตอนนี้คือการเจาะกลุ่มเป้าหมายเยาวชนของธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้า ผ่านกลิ่นหอม สีสัน และการตลาดบนโลกออนไลน์ จะเห็นได้ว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่ใช่แค่ควัน แต่คือกลไกดึงเด็กเข้าสู่วงจรติดสารเสพติด” ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะองค์กร กล่าว
หมายเหตุ: สำหรับสถานประกอบการใดที่ต้องการสื่อสำหรับบุหรี่เพื่อองค์กรสุขภาวะ ในการรณรงค์ประชาสัมพันธ์และให้ความรู้เรื่องพิษภัยของบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า รวมถึงคำแนะนำในการลด ละ เลิก สามารถดาวน์โหลดได้ที่ลิงก์นี้ https://drive.google.com/drive/folders/14PkPuk5GM2YNsJxpETZWk8BqYrsTKXQJ?usp=sharing
///////