ปัญหาของคนวัยทำงานจำนวนไม่น้อย คือมีความกังวลในการดูแลครอบครัว ทั้งเรื่องลูก และพ่อแม่ที่อยู่ในวัยสูงอายุ ซึ่งต้องการการดูแล กลายเป็นสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานไม่น้อย เมื่อไม่มีคนดูแลลูก พ่อแม่ที่สูงอายุต้องอยู่ตามลำพัง การหาทางออกของแต่ละคนก็แตกต่างกันไปตามบริบทแวดล้อมและความพร้อมของครอบครัว บางคนต้องส่งลูกไปให้พ่อแม่ที่อยู่ต่างจังหวัดเลี้ยงดู บางคนต้องส่งลูกเข้าเนอสเซอรี่ ส่วนบ้านที่มีผู้สูงอายุก็จำต้องปล่อยให้อยู่ตามลำพัง
สถานการณ์เหล่านี้ ย่อมส่งผลต่อทั้งการทำงาน และ ความสัมพันธ์ภายในครอบครัว แต่ปัญหา Work Life Balance เหล่านี้ คนทำงานในฐานะปัจเจกบุคคลไม่อาจจัดการปัญหาได้ ต้องอาศัยการปรับตัวขององค์กรเพื่อให้มีสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้การทำงานสามารถดำเนินไปได้พร้อมกับการดูแลครอบครัวอย่างราบรื่น
จากรายงานเรื่อง Work and Family : Creating a family-friendly workplace ที่จัดทำโดย องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ระบุถึงสิ่งที่ที่ทำงานจะได้รับ ถ้ามีนโยบายหรือแนวทางที่เป็นมิตรกับครอบครัวของพนักงาน ดังนี้
1. การพัฒนาด้านความผูกพันกับองค์กร พนักงานมีความเครียดลดลง มีความพึงพอใจเพิ่มขึ้น การที่องค์กรช่วยลดความตึงเครียดในการต้องดูแลเด็กหรือผู้สูงอายุ จะช่วยให้พนักงานลดการขาด ลา มาสาย และมี ประสิทธิภาพการทำงานที่เพิ่มขึ้น มีการศึกษาที่พบว่า บริษัทในอังกฤษที่เปิดให้พนักงานมีเวลาทำงานที่ ยืดหยุ่น สามารถรักษาพนักงานไว้ได้ร้อยละ 76 เพิ่มแรงจูงใจในการทำงาน ร้อยละ 73 และพนักงานมีความ ผูกพันกับองค์กรเพิ่มขึ้นร้อยละ 72
2. การรักษาพนักงานไว้ได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะพนักงานผู้หญิง มีผลการศึกษาที่พบว่า องค์กรที่มีการทำงาน ที่ยืดหยุ่น ส่งผลให้ผู้หญิงมีความมุ่งมั่นในการทำงานเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 30 ซึ่งท้าทายต่อสมมติฐาน ที่ว่า ผู้หญิงเมื่อมีครอบครัวแล้วจะทุ่มเทให้กับงานลดลง การทำงานที่ยืดหยุ่นทำให้องค์กรรักษาพนักงานหญิง ไม่ให้ลาออกได้มากกว่าร้อยละ 40 รวมทั้งองค์กรที่มีการส่งเสริมบทบาทของผู้ชายให้มีส่วนในการรับผิดชอบงานบ้านและการดูแลสมาชิกครอบครัว ก็ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อผู้หญิง ทำให้สามารถจัดการเรื่องงานและ ครอบครัวได้ดีขึ้นด้วย
3. ลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ การมีนโยบายและมาตรการที่เป็นมิตรกับครอบครัวพนักงาน อย่างการยืดหยุ่นการทำงาน ช่วยให้องค์กรสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการมีบุคลากรลาออก ต้องหาคนใหม่ มาทดแทน ฝึกอบรมกันใหม่ ขณะที่บุคลากรเดิมมีความรู้และประสบการณ์ที่สามารถสร้างมูลค่าให้แก่องค์กร ผลการศึกษาในสหรัฐฯ ประเมินว่า องค์กรสามารถลดรายจ่ายมากกว่า 10,000 ดอลลาร์ต่อปี สำหรับการให้ พนักงานทุกคนทำงานทางไกลครึ่งหนึ่งของเวลางาน
4. ลดช่องว่างระหว่างรายได้ของผู้หญิง-ผู้ชาย ซึ่งเป็นประเด็นที่หลายประเทศทั่วโลกกำลังตื่นตัว โดยการมีวันลาเพื่อดูแลลูกหลังคลอด สำหรับทั้งผู้หญิงและผู้ชาย จะเป็นการลดการเลือกปฏิบัติระหว่างเพศ รวมทั้ง
ลดช่องว่างรายได้ระหว่างเพศลงด้วย ในประเทศเดนมาร์ก ที่ลูกจ้างสามารถลาคลอดได้หนึ่งปี และมีการจัดศูนย์เด็กเล็กในที่ทำงาน พบว่าสามารถลดช่องว่างระหว่างรายได้ของสองเพศให้แคบลง และรักษา อัตราการจ้างงานผู้หญิงไว้ในระดับสูง
.
ประเทศฟินแลนด์นับเป็นหนึ่งในประเทศที่มีสวัสดิการด้านสังคมที่ดีแก่ประชาชน
บริษัทนี้เคยสำรวจพบว่าปัญหาอย่างหนึ่งของพนักงานที่มีครอบครัวคือจำเป็นต้องแบ่งเวลาส่วนหนึ่งในชีวิตเพื่อการดูแลเด็ก ทำให้ไม่สามารถทำงานตรงตามเวลาได้ เพื่อให้พนักงานมี work Life Balance บริษัทจึงจัดให้พนักงานสามารถทำงานได้อย่างยืดหยุ่น ทุกที ทุกเวลา
การมีครอบครัวที่มีคุณภาพคือสร้างพื้นฐานที่ดีให้กับบุคลากรทุกช่วงวัยของสังคม ถ้าองค์กรมีการสนับสนุนการดูแลครอบครัวของพนักงานก็จะสร้างความรู้สึกถึงความมั่นคง และคุณภาพชีวิตที่ดีกับพนักงานได้ สิ่งที่องค์กรได้รับกลับมาคือ เมื่อพนักงานไม่มีปัญหาให้ต้องวิตกกังวล เพราะองค์กรใส่ใจพนักงานและเอื้อไปถึงครอบครัว ทำให้ลดการลาออก ของพนักงาน และสามารถทุ่มเทให้กับงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ นำไปสู่การร่วมแรงร่วมใจทำให้องค์กรเติบโต และประสบความสำเร็จ
ที่มา คู่มือแนวทางปฏิบัติสำหรับองค์กร/สถานประกอบการที่เป็นมิตรกับครอบครัว